ท่านที่สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ กรุณารอให้ Admin ได้ทำการ Validate การเป็นสมาชิก ภายใน 24 ชม.ของวันทำการ ซึ่งระหว่างที่รอ Validation ท่านอาจจะยังไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้ หากไม่ได้รับความสะดวก กรุณาอีเมลแจ้ง isothainetwork@hotmail.com
ชาวISO ส่วนมากทางฝ่ายผลิตจะเรียกว่าเสือกระดาษ เราน่าจะมีกระทู้ด้านเทคนิค ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ประสิทธิภาพบ้างดีมั้ย แต่ละบริษัทมาแสดงกันบ้างดีมั้ย เ
Started by
PAISAL
, Jan 15 2009 08:10 PM
10 replies to this topic
#1
Posted 15 January 2009 - 08:10 PM
ชาว ไอ เอส โอ ส่วนมาก ผลิตจะมองว่าทำแต่เอกสาร ไม่เห็นจะช่วยให้งานผลิตและโรงงานดีขึ้นเป็นรูปธรรมเลย เราควรจะเอาเทคนิคในด้านต่างๆของแต่ละบริษัทมาเสนอกันบ้างดีมั้ย อย่างเช่นเรื่องต่อไปนี้
เรื่องการลดต้นทุนที่บริษัทได้ทำสำเร็จมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
- ใช้น้ำมัน use oil แทนน้ำมันเตา
- ใช้ถ่านหิน bitubinus แทนน้ำมันเตา จาก 12 บาทต่อลิตร ถ้าใช้ bitubinus เหลือ 3 บาท ประหยัดไปกว่า 400%
- วิธีการลดค่าไฟฟ้าแบบหลบ peak , balance load, add power factor
- วิธีการลด raw material อย่างไรจะได้ผลดี ลดwaste motion bottle neck
- supplier เจ้าไหนขายของแพง ถูก ที่ยี่ห้อ สเปค เดียวกัน
-วิธีการเพิ่ม productivity ของแต่ละบริษัท ทำอย่างไร เช่นทำให้คน rotored job , mullti skills พนักงาน หนึ่งคนต้องเป็นมากกว่า 1 process หรือวิธีลดคอขวดแต่ละบริษัททำอย่างไร วิธี ไคเซนแต่ละบริษัททำอย่างไร
- วิธีจ่ายค่าจ้างจูงใจแต่ละบริษัททำอย่างไร ได้ผลหรือไม่
- ตลาดไหนทำของประเภทไหนไปแล้วขายดี อันไหนขายไม่ได้
ถ้าเรามีการสนทนากันแบบนี้บ้างจะทำให้ไม่เบื่อเพราะในชีวิตจริงของโรงงานหรือคนส่วนใ
หญ่จะทำเรื่องนี้กันหากว่าพวกเราได้เอาเทคนิคของแต่ละบริษัทมาแลกเปลี่ยนความสำเร็จกั
นซึ่งหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด เพราะเราเอามาจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงในโรงงานและบริษัท ก็จะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้นด้วยชาวไอ เอส โอ เพราะเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้แย่มากๆ พนักงาน layoff เราควรมีส่วนช่วยเรื่องปากท้องของบริษัทเราด้วยการต่อยอดข้ามบริษัทดีมั้ย
เรื่องการลดต้นทุนที่บริษัทได้ทำสำเร็จมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
- ใช้น้ำมัน use oil แทนน้ำมันเตา
- ใช้ถ่านหิน bitubinus แทนน้ำมันเตา จาก 12 บาทต่อลิตร ถ้าใช้ bitubinus เหลือ 3 บาท ประหยัดไปกว่า 400%
- วิธีการลดค่าไฟฟ้าแบบหลบ peak , balance load, add power factor
- วิธีการลด raw material อย่างไรจะได้ผลดี ลดwaste motion bottle neck
- supplier เจ้าไหนขายของแพง ถูก ที่ยี่ห้อ สเปค เดียวกัน
-วิธีการเพิ่ม productivity ของแต่ละบริษัท ทำอย่างไร เช่นทำให้คน rotored job , mullti skills พนักงาน หนึ่งคนต้องเป็นมากกว่า 1 process หรือวิธีลดคอขวดแต่ละบริษัททำอย่างไร วิธี ไคเซนแต่ละบริษัททำอย่างไร
- วิธีจ่ายค่าจ้างจูงใจแต่ละบริษัททำอย่างไร ได้ผลหรือไม่
- ตลาดไหนทำของประเภทไหนไปแล้วขายดี อันไหนขายไม่ได้
ถ้าเรามีการสนทนากันแบบนี้บ้างจะทำให้ไม่เบื่อเพราะในชีวิตจริงของโรงงานหรือคนส่วนใ
หญ่จะทำเรื่องนี้กันหากว่าพวกเราได้เอาเทคนิคของแต่ละบริษัทมาแลกเปลี่ยนความสำเร็จกั
นซึ่งหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด เพราะเราเอามาจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงในโรงงานและบริษัท ก็จะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้นด้วยชาวไอ เอส โอ เพราะเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้แย่มากๆ พนักงาน layoff เราควรมีส่วนช่วยเรื่องปากท้องของบริษัทเราด้วยการต่อยอดข้ามบริษัทดีมั้ย
#2
Posted 16 January 2009 - 07:45 AM
เป็นความคิดที่ดีนะครับ และอันที่จริงควรจะเป็นไอเดียแบบ bottom-up เพื่อให้ผู้บริหารมองพนักงานในแง่มุมที่ดีมากขึ้น
นำเสนอในรูปแบบของ suggestion activities พร้อมให้รางวัลกับไอเดียที่นำไปปฏิบัติได้จริง และลดค่าใช้จ่ายได้จริง แบบนี้พนักงานน่าจะกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมด้วยครับ
นำเสนอในรูปแบบของ suggestion activities พร้อมให้รางวัลกับไอเดียที่นำไปปฏิบัติได้จริง และลดค่าใช้จ่ายได้จริง แบบนี้พนักงานน่าจะกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมด้วยครับ
ลายเซ็น
#3
Posted 16 January 2009 - 09:41 AM
แชร์เพิ่มครับ
ใช้กิจกรรม กลุ่มQCC อ่ะครับ แล้วก็ ตั้งรางวัล ค่อนข้างสูง (มีคณะกรรมการเป็นเรื่องเป็นราว)
กรอบของการกำหนดปัญหา เป็นเรื่อง QCDSMEE (แต่ต้องมีข้อมูลมาอ้างอิง)
แค่เข้ารอบแรก ก็มีทุนบ้างแล้ว ยิ่งเข้ารอบลึกรางวัลก็สูงขึ้น
ได้ฝึกพนักงาน ได้หลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้ 7 tools , การใช้คอม ในการPrsent ,การพูด ,การวิเคราะห์ปัญหา การหาแนวทางการแก้ไข อย่างเป็นระบบ ฯลฯ
แล้วกิจกรรมส่วนตัวก็เป็น เรื่อง ของไคเซ็น ครับ (อันนี้ถ้าจะให้ดี ควรมีค่าเขียนให้กับไอเดียดีๆของพนักงาน)
แค่สองกิจกรรมนี้ วางแนวทางในการดำเนินการ และบริหารกิจกรรมดี ก็ลดต้นทุน มาหลายล้านแล้ว(ขอบอกว่าคุ้มมากมาย ทั้งบริษัทฯและพนักงาน) ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ใช้กิจกรรม กลุ่มQCC อ่ะครับ แล้วก็ ตั้งรางวัล ค่อนข้างสูง (มีคณะกรรมการเป็นเรื่องเป็นราว)
กรอบของการกำหนดปัญหา เป็นเรื่อง QCDSMEE (แต่ต้องมีข้อมูลมาอ้างอิง)
แค่เข้ารอบแรก ก็มีทุนบ้างแล้ว ยิ่งเข้ารอบลึกรางวัลก็สูงขึ้น
ได้ฝึกพนักงาน ได้หลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้ 7 tools , การใช้คอม ในการPrsent ,การพูด ,การวิเคราะห์ปัญหา การหาแนวทางการแก้ไข อย่างเป็นระบบ ฯลฯ
แล้วกิจกรรมส่วนตัวก็เป็น เรื่อง ของไคเซ็น ครับ (อันนี้ถ้าจะให้ดี ควรมีค่าเขียนให้กับไอเดียดีๆของพนักงาน)
แค่สองกิจกรรมนี้ วางแนวทางในการดำเนินการ และบริหารกิจกรรมดี ก็ลดต้นทุน มาหลายล้านแล้ว(ขอบอกว่าคุ้มมากมาย ทั้งบริษัทฯและพนักงาน) ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
#4
Posted 16 January 2009 - 01:59 PM
เห็นด้วยมากเลยนะครับ เพราะในสภาพปัจจุบันนั้นบริษัท/องค์กร กำลังต้องการความช่วยเหลือกันทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ภาคการผลิต ภาคด้านการจัดการ หรือแม้แต่ฝ่ายซ่อมบำรุง เพื่อช่วยประคับประครองให้บริษัทสามารถผ่านช่วงที่เศรษฐกิจแบบนี้อ่ะ
Email:(Mail and Data)
theerawut.thanomdee@gmail.com
theerawut.thanomdee@gmail.com
#5
Posted 17 January 2009 - 11:57 AM
ที่บริษัทก็กำลังจะทำอย่นะค่ะ กับกิจกรรมกลุ่ม QCC เนี่ย แต่ว่า
ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย
โดยส่วนตัวแล้วขอบอกตามตรงว่ายังไม่เข้าใจเลยค่ะว่า
กิจกรรมนี้มี Process และความสำคัญอย่างไร
ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย
โดยส่วนตัวแล้วขอบอกตามตรงว่ายังไม่เข้าใจเลยค่ะว่า
กิจกรรมนี้มี Process และความสำคัญอย่างไร
#6
Posted 18 January 2009 - 11:43 AM
ผมจะขอยกตัวอย่างนะครับ
ฝ่ายซ่อมบำรุงต้องทำเรื่อง PREVENTIVE MAINTENANCE(PM),BRAKE DOWN MAINTENANCE (BDM),CORECTIVE MAINTENANCE(CM)
- PM หมายถึง การซ่อมก่อนเที่เครื่องจักรจะเสีย เช่น ทางซ่อมบำรุงจะกำหนดว่า ถ้าน้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเครื่อง มีอายุเปลี่ยนถ่ายที่ 5,000 ชม.ก็ทำการเปลี่ยน พอถึงเวลาช่างก็จะเปลี่ยน ตามแผน(Schedule)ที่กำหนดไว้ วิธีคิดแผนเปลี่ยนของเขาคือเอา 5,000(ชม.)หารด้วย/ชม.ที่เครื่องจักรทำงาน(สมมุติว่า10ช.มต่อวัน) = 500วัน / 25(1เดือนทำงาน25วัน)=20 เดือนจึงจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจักรทุกเครื่อง พอถึงเวลาเค้าก็จะเปลี่ยนตามแผน แต่........มีจุดอ่อนคือ
1.ช่างรู้หรือไม่ว่าการคิดที่ 10 ชม.หรือ 8 ชม.ต่อวันนั้นเขาอาจไม่ได้หักหรือลบด้วยเวลาที่เครื่องจักรเสียไม่ได้เปิดใช้งานไปด้
วย จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
2.เข้าไม่ได้คิดตอนปิดเครื่องจักรเพื่อรองานเข้าเครื่องเพราะบางช่วงบางวันไม่มีงานท
ำจึงต้องปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
3.ตอนประชุมพนักงาน บางครั้งก็ไม่ได้เปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
4.ตอนปิดเครื่องซ่อมชิ้นงาน ก็อาจไม่ได้เปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
ทั้ง4ข้อนี้หากเราคิดให้ละเอียดจริงๆ จากที่ 20 เดือนต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกี่ยร ถ้าเอาทั้ง 4 ข้อที่เป็นเวลาที่ต้องหักออก อาจเป็น 30 เดือนก็ได้ที่ต้องเปลี่ยนน้ำมัน แทนที่จะเป็น 20 เดือน ทำให้ประหยัดไปได้ 30 % (อย่าลืมว่าเครื่องจักรไม่ได้มีเครื่องเดียวถ้าหากเราทำได้ทุกเครื่องเราก็จะได้ 30 % ของเครื่องทั้งหมด
BDM= เครื่องเสียแล้วจึงซ่อม หากเราปล่อยให้เครื่องเสียแล้วซ่อม หากเราเอา % เครื่องเสียทั้งโรงงานทุกเครื่องมารวมกัน อาจจะรวมชั่วโมงเครื่องเสียทั้งโรงงานได้ เป็น พันๆ ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้น ซ่อมบำรุงจะต้องทำมาทำงานในวันหยุดจะดีกว่าเพื่อทำ PM คือซ่อมก่อนเครื่องจะเสีย เช่นเอามือไปจับสายพานดูว่าใกล้จะขาดหรือยัง เอาหูไปฟังดูว่าลูกปินจะพังหรือยังถ้าจะพังแล้วก็เปลี่ยนเสียก่อนจะได้ลด BDM ลง แค่ทำอย่างนี้ทุกวันหยุดเราก็จะลดคำว่า เสียๆรวมเดือนละเป็นพันๆชั่วโมง ก็อาจเหลือแค่ 10 ชั่วโมง นี่ก็เป็นการเพิ่ม productivity โดยไม่ต้องเพิ่ม OT.ของฝ่ายผลิต หรือไม่ต้องเพิ่มเครื่องจักร ไม่ต้องขยายโรงงาน
CM=วิธีแก้ไขเชิงป้องกัน จุดอ่อนจาก PMนั้นทำให้โรงงานสูญเสียดังนั้นเรื่องนี้ต้องเอาช่างที่เก่งที่สุดมาตรวจสอบอะไหล่ท
ี่ได้ถูกถอดเปลี่ยนออกจากเครื่อง เช่นการเปลี่ยนตามระยะเวลานั้นบางครั้งสายพานที่เปลี่ยนไปบางเส้น(ย้ำสายพานบาง เส้นไม่ใช่ทุกเส้น)อาจจะยังใช้ต่อได้อีก 3 เดือนก็ได้ หากว่าช่างที่เก่งที่สุดตรวจสอบว่าใช้ได้ต่อ แค่นี้อะไหล่ที่ถูกถอดเปลี่ยนตามแผน ก็จะยังใช้ได้ต่ออีก เห็นมั้ยว่า ไม่ต้องใช้เงิน
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน
ฝ่ายซ่อมบำรุงต้องทำเรื่อง PREVENTIVE MAINTENANCE(PM),BRAKE DOWN MAINTENANCE (BDM),CORECTIVE MAINTENANCE(CM)
- PM หมายถึง การซ่อมก่อนเที่เครื่องจักรจะเสีย เช่น ทางซ่อมบำรุงจะกำหนดว่า ถ้าน้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเครื่อง มีอายุเปลี่ยนถ่ายที่ 5,000 ชม.ก็ทำการเปลี่ยน พอถึงเวลาช่างก็จะเปลี่ยน ตามแผน(Schedule)ที่กำหนดไว้ วิธีคิดแผนเปลี่ยนของเขาคือเอา 5,000(ชม.)หารด้วย/ชม.ที่เครื่องจักรทำงาน(สมมุติว่า10ช.มต่อวัน) = 500วัน / 25(1เดือนทำงาน25วัน)=20 เดือนจึงจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องจักรทุกเครื่อง พอถึงเวลาเค้าก็จะเปลี่ยนตามแผน แต่........มีจุดอ่อนคือ
1.ช่างรู้หรือไม่ว่าการคิดที่ 10 ชม.หรือ 8 ชม.ต่อวันนั้นเขาอาจไม่ได้หักหรือลบด้วยเวลาที่เครื่องจักรเสียไม่ได้เปิดใช้งานไปด้
วย จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
2.เข้าไม่ได้คิดตอนปิดเครื่องจักรเพื่อรองานเข้าเครื่องเพราะบางช่วงบางวันไม่มีงานท
ำจึงต้องปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
3.ตอนประชุมพนักงาน บางครั้งก็ไม่ได้เปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
4.ตอนปิดเครื่องซ่อมชิ้นงาน ก็อาจไม่ได้เปิดเครื่อง จึงต้องมาลบเวลาออกจากแผน
ทั้ง4ข้อนี้หากเราคิดให้ละเอียดจริงๆ จากที่ 20 เดือนต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกี่ยร ถ้าเอาทั้ง 4 ข้อที่เป็นเวลาที่ต้องหักออก อาจเป็น 30 เดือนก็ได้ที่ต้องเปลี่ยนน้ำมัน แทนที่จะเป็น 20 เดือน ทำให้ประหยัดไปได้ 30 % (อย่าลืมว่าเครื่องจักรไม่ได้มีเครื่องเดียวถ้าหากเราทำได้ทุกเครื่องเราก็จะได้ 30 % ของเครื่องทั้งหมด
BDM= เครื่องเสียแล้วจึงซ่อม หากเราปล่อยให้เครื่องเสียแล้วซ่อม หากเราเอา % เครื่องเสียทั้งโรงงานทุกเครื่องมารวมกัน อาจจะรวมชั่วโมงเครื่องเสียทั้งโรงงานได้ เป็น พันๆ ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้น ซ่อมบำรุงจะต้องทำมาทำงานในวันหยุดจะดีกว่าเพื่อทำ PM คือซ่อมก่อนเครื่องจะเสีย เช่นเอามือไปจับสายพานดูว่าใกล้จะขาดหรือยัง เอาหูไปฟังดูว่าลูกปินจะพังหรือยังถ้าจะพังแล้วก็เปลี่ยนเสียก่อนจะได้ลด BDM ลง แค่ทำอย่างนี้ทุกวันหยุดเราก็จะลดคำว่า เสียๆรวมเดือนละเป็นพันๆชั่วโมง ก็อาจเหลือแค่ 10 ชั่วโมง นี่ก็เป็นการเพิ่ม productivity โดยไม่ต้องเพิ่ม OT.ของฝ่ายผลิต หรือไม่ต้องเพิ่มเครื่องจักร ไม่ต้องขยายโรงงาน
CM=วิธีแก้ไขเชิงป้องกัน จุดอ่อนจาก PMนั้นทำให้โรงงานสูญเสียดังนั้นเรื่องนี้ต้องเอาช่างที่เก่งที่สุดมาตรวจสอบอะไหล่ท
ี่ได้ถูกถอดเปลี่ยนออกจากเครื่อง เช่นการเปลี่ยนตามระยะเวลานั้นบางครั้งสายพานที่เปลี่ยนไปบางเส้น(ย้ำสายพานบาง เส้นไม่ใช่ทุกเส้น)อาจจะยังใช้ต่อได้อีก 3 เดือนก็ได้ หากว่าช่างที่เก่งที่สุดตรวจสอบว่าใช้ได้ต่อ แค่นี้อะไหล่ที่ถูกถอดเปลี่ยนตามแผน ก็จะยังใช้ได้ต่ออีก เห็นมั้ยว่า ไม่ต้องใช้เงิน
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน
#7
Posted 02 February 2009 - 05:40 PM
QUOTE(อยากรู้(แต่ไม่อยากถาม) @ Jan 16 2009, 09:41 AM) <{POST_SNAPBACK}>
แชร์เพิ่มครับ
ใช้กิจกรรม กลุ่มQCC อ่ะครับ แล้วก็ ตั้งรางวัล ค่อนข้างสูง (มีคณะกรรมการเป็นเรื่องเป็นราว)
กรอบของการกำหนดปัญหา เป็นเรื่อง QCDSMEE (แต่ต้องมีข้อมูลมาอ้างอิง)
แค่เข้ารอบแรก ก็มีทุนบ้างแล้ว ยิ่งเข้ารอบลึกรางวัลก็สูงขึ้น
ได้ฝึกพนักงาน ได้หลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้ 7 tools , การใช้คอม ในการPrsent ,การพูด ,การวิเคราะห์ปัญหา การหาแนวทางการแก้ไข อย่างเป็นระบบ ฯลฯ
แล้วกิจกรรมส่วนตัวก็เป็น เรื่อง ของไคเซ็น ครับ (อันนี้ถ้าจะให้ดี ควรมีค่าเขียนให้กับไอเดียดีๆของพนักงาน)
แค่สองกิจกรรมนี้ วางแนวทางในการดำเนินการ และบริหารกิจกรรมดี ก็ลดต้นทุน มาหลายล้านแล้ว(ขอบอกว่าคุ้มมากมาย ทั้งบริษัทฯและพนักงาน) ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ใช้กิจกรรม กลุ่มQCC อ่ะครับ แล้วก็ ตั้งรางวัล ค่อนข้างสูง (มีคณะกรรมการเป็นเรื่องเป็นราว)
กรอบของการกำหนดปัญหา เป็นเรื่อง QCDSMEE (แต่ต้องมีข้อมูลมาอ้างอิง)
แค่เข้ารอบแรก ก็มีทุนบ้างแล้ว ยิ่งเข้ารอบลึกรางวัลก็สูงขึ้น
ได้ฝึกพนักงาน ได้หลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้ 7 tools , การใช้คอม ในการPrsent ,การพูด ,การวิเคราะห์ปัญหา การหาแนวทางการแก้ไข อย่างเป็นระบบ ฯลฯ
แล้วกิจกรรมส่วนตัวก็เป็น เรื่อง ของไคเซ็น ครับ (อันนี้ถ้าจะให้ดี ควรมีค่าเขียนให้กับไอเดียดีๆของพนักงาน)
แค่สองกิจกรรมนี้ วางแนวทางในการดำเนินการ และบริหารกิจกรรมดี ก็ลดต้นทุน มาหลายล้านแล้ว(ขอบอกว่าคุ้มมากมาย ทั้งบริษัทฯและพนักงาน) ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า เอา QCC มาช่วยครับ แต่บริษัทผม คนที่มีความรู้ QCC แบบว่า เป็นผู้ชำนาญการ มีน้อยครับสงสัยต้องพึ่งฝ่ายฝึกอบรมอีกยาวกันเลยละครับ ส่วนตัวผมเองเป็นแค่ DCC ช่วยแค่เรื่องเอกสาร อยากมีความรู้เรื่อง QCC เพิ่งไคจะพอมีเอกสาร เกี่ยวกับ QCC เอา แบบเนื้อหาเข้าใจง่าย ๆ มาแชร์ ด้วยได้ไหมครับ ขอขอบคุณล่วงหน้านะครับ
#8
Posted 03 February 2009 - 02:33 PM
ผมพอมีเอกสารฝึกอบรม QCC อยู่บ้างครับ
แต่ว่ามัน อัพโหลดไม่ผ่าน ถ้าสนใจ ก็เมล์มาได้นะครับ จะส่งไปให้ลองใช้ดูครับ
แต่ว่ามัน อัพโหลดไม่ผ่าน ถ้าสนใจ ก็เมล์มาได้นะครับ จะส่งไปให้ลองใช้ดูครับ
Think first print later...save paper save the world.
#9
Posted 03 February 2009 - 02:34 PM
QUOTE(MRKAGA @ Feb 3 2009, 02:33 PM) <{POST_SNAPBACK}>
ผมพอมีเอกสารฝึกอบรม QCC อยู่บ้างครับ
แต่ว่ามัน อัพโหลดไม่ผ่าน ถ้าสนใจ ก็เมล์มาได้นะครับ จะส่งไปให้ลองใช้ดูครับ
แต่ว่ามัน อัพโหลดไม่ผ่าน ถ้าสนใจ ก็เมล์มาได้นะครับ จะส่งไปให้ลองใช้ดูครับ
silanu@kaga.co.th
Think first print later...save paper save the world.
#10
Posted 15 February 2009 - 10:41 PM
moft_bob@hotmail.com
สนใจครับตอนนี้ทางแผนกเริ่มศึกษาเรื่อง VE (วิศวกกรมคุณค่า) ถ้าบริษัทแย่เราก็แย่ครับ
สนใจครับตอนนี้ทางแผนกเริ่มศึกษาเรื่อง VE (วิศวกกรมคุณค่า) ถ้าบริษัทแย่เราก็แย่ครับ
#11
Posted 16 February 2009 - 08:38 AM
ห็นด้วยทุกประการกับกิจกรรมของ Bottom up แต่ควรเลือกกิจกรรมที่ง่ายให้พนักงานเริ่มทำก่อน ถ้าในเชิงเทคนิค QCC จะค่อนข้างซับซ้อนเข้าใจยากสำหรับพนักงานทั่วไป ถ้าให้ดีควรให้กิจกรรม KAIZEN ซึ่งเน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องที่ละเล็กละน้อยเป็นหลัก โดยให้แนวคิด 3 ประการกับพนักงาน คือ
1. เลิก เช่น กระบวนการที่ไม่สำคัญ ยุ่งยาก หรือเอกสารซ้อนกัน แต่การเลิกต้องไม่ทำให้คุณภาพลดลง หรือ ก่อผลเสียกับกระบวนถัดไป
2. ลด เช่น ลดการใช้กระดาษ ลดการใช้อุปกรณ์สิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น
3. สุดท้าย คือ เปลี่ยน หากไม่สามารทำทั้ง 2 แนวคิดได้ ก็ให้คิดว่าเปลี่ยนได้ไหม
โดยใช้Tooling ECRS คือ
E-Eliminate ขจัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
C-Combine การรวมขั้นตอนหรือวิธีการทำงานเข้าด้วยกัน
R- Re-arrange ปรับปรุงขั้นตอนทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
S-Simplify ทำให้ง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากซับซ้อนของงาน
ลองเอาไปทำดูครับ มีอะไรถามเพิ่มเิติมออนมาคุยได้ครับที่ MSN
1. เลิก เช่น กระบวนการที่ไม่สำคัญ ยุ่งยาก หรือเอกสารซ้อนกัน แต่การเลิกต้องไม่ทำให้คุณภาพลดลง หรือ ก่อผลเสียกับกระบวนถัดไป
2. ลด เช่น ลดการใช้กระดาษ ลดการใช้อุปกรณ์สิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น
3. สุดท้าย คือ เปลี่ยน หากไม่สามารทำทั้ง 2 แนวคิดได้ ก็ให้คิดว่าเปลี่ยนได้ไหม
โดยใช้Tooling ECRS คือ
E-Eliminate ขจัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
C-Combine การรวมขั้นตอนหรือวิธีการทำงานเข้าด้วยกัน
R- Re-arrange ปรับปรุงขั้นตอนทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
S-Simplify ทำให้ง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากซับซ้อนของงาน
ลองเอาไปทำดูครับ มีอะไรถามเพิ่มเิติมออนมาคุยได้ครับที่ MSN
การมีความรู้ มาจากการเรียนรู้ และปฏิบัติ หากเรียนอย่างเดียวไม่ปฏิบัีติก็เรียกว่ารุ้ไม่จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
1 user(s) are reading this topic
0 members, 1 guests, 0 anonymous users