ท่านที่สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ กรุณารอให้ Admin ได้ทำการ Validate การเป็นสมาชิก ภายใน 24 ชม.ของวันทำการ ซึ่งระหว่างที่รอ Validation ท่านอาจจะยังไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้ หากไม่ได้รับความสะดวก กรุณาอีเมลแจ้ง isothainetwork@hotmail.com

"โบนัส" พวกคุณรู้จักคำนี้มั้ย
Started by
iso_boy
, Feb 03 2011 10:38 PM
10 replies to this topic
#1
Posted 03 February 2011 - 10:38 PM
โบนัส 6 เดือน คำ ๆ นี้ฟังแล้วหูผึ่งงงงงงงงงง
แต่ที่ทำงานผม สิ้นปี ไม่ มี โบนัส สวัสดิการบางอย่างที่เคยได้ เช่น ค่าอาหาร เบี้ยบางอย่างหายไป
เศร้าใจจังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แถมเรื่องรายได้หลังประเมิน ก้ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ ได้ไม่ครบตามที่แจ้ง เซ็งเป็ดดดดด
แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็ต้องอดทนทำงานต่อไป
แต่ที่ทำงานผม สิ้นปี ไม่ มี โบนัส สวัสดิการบางอย่างที่เคยได้ เช่น ค่าอาหาร เบี้ยบางอย่างหายไป
เศร้าใจจังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แถมเรื่องรายได้หลังประเมิน ก้ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ ได้ไม่ครบตามที่แจ้ง เซ็งเป็ดดดดด
แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็ต้องอดทนทำงานต่อไป





#2
Posted 03 February 2011 - 11:44 PM
สู้ต่อไป..... เพื่ออนาคต
JD คร่าว ๆ เป็น QC ทุกวันนี้เหมือนควบ Production อีกตำแหน่ง
ตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบทั้งทางด้านกายภาพ และทางเคมี
ควบคุม ตรวจสอบกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานตั้งแต่รับ RM จนถึง Semi ในสินค้ากลุ่ม curry paste, suace, ready meal, beverage เป็นต้น
ทวนสอบเครื่อง Metal Detecter
personal hygiene และ cleaning
ตรวจ lab cut out และ sensory evaluation สินค้าก่อนการบรรจุ
Lab micro เตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ, ตรวจวิเคราะห์เชื้อ
การบริหารจัดการวัตถุในห้องเย็น (Postharvest)
อยากจะเรียนต่อ IE แต่รายได้ที่เซ็นต์ในหนังสือไม่เป็นไปตามที่ตกลง คงจะหมดหวัง นอกจากหางานใหม่ซะมั้ง
ไม่มีไรคับ แค่อยากระบายยยยยยย ก็แค่นั้น
JD คร่าว ๆ เป็น QC ทุกวันนี้เหมือนควบ Production อีกตำแหน่ง
ตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบทั้งทางด้านกายภาพ และทางเคมี
ควบคุม ตรวจสอบกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานตั้งแต่รับ RM จนถึง Semi ในสินค้ากลุ่ม curry paste, suace, ready meal, beverage เป็นต้น
ทวนสอบเครื่อง Metal Detecter
personal hygiene และ cleaning
ตรวจ lab cut out และ sensory evaluation สินค้าก่อนการบรรจุ
Lab micro เตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ, ตรวจวิเคราะห์เชื้อ
การบริหารจัดการวัตถุในห้องเย็น (Postharvest)
อยากจะเรียนต่อ IE แต่รายได้ที่เซ็นต์ในหนังสือไม่เป็นไปตามที่ตกลง คงจะหมดหวัง นอกจากหางานใหม่ซะมั้ง
ไม่มีไรคับ แค่อยากระบายยยยยยย ก็แค่นั้น





#3
Posted 04 February 2011 - 07:55 AM
ลูกพระจอม สู้สู้ ...

#4
Posted 04 February 2011 - 09:37 AM
55555 น้องยังดีนะที่ได้เงินขึ้น แต่พี่นะโบนัสไม่ได้มา 3 ปี และเงินเดือนไม่ขึ้นมา 3 ปีแหระ ไม่เห็นเป็นไรเลย เรามองให้ดีๆๆประสบการณ์ที่ได้มีค่ามากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ เมื่อถึงเวลาที่แข่งแกร่งเราก็จะรู้เองว่านี่แหระประโยชน์ของความอดทนรอ สู้ต่อไปนะครับ ยังมีอะไรที่มากกว่าเงิน
การมีความรู้ มาจากการเรียนรู้ และปฏิบัติ หากเรียนอย่างเดียวไม่ปฏิบัีติก็เรียกว่ารุ้ไม่จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
#5
Posted 04 February 2011 - 10:04 AM
เอามาฝากครับ
อาจช่วยได้ไม่มาก ก้อนน้อยครับ
สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น
พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น สูตรแห่งชีวิตประจำวัน
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ....
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น ตำราแห่งชีวิต ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป....เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
อาจช่วยได้ไม่มาก ก้อนน้อยครับ
สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น
พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น สูตรแห่งชีวิตประจำวัน
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ....
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น ตำราแห่งชีวิต ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป....เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
"ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบกันเท่านั้น"
E-mail suppadej@gmail.com
#6
Posted 04 February 2011 - 11:05 AM
QUOTE(iso_man @ Feb 4 2011, 09:37 AM) <{POST_SNAPBACK}>
55555 น้องยังดีนะที่ได้เงินขึ้น แต่พี่นะโบนัสไม่ได้มา 3 ปี และเงินเดือนไม่ขึ้นมา 3 ปีแหระ ไม่เห็นเป็นไรเลย เรามองให้ดีๆๆประสบการณ์ที่ได้มีค่ามากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ เมื่อถึงเวลาที่แข่งแกร่งเราก็จะรู้เองว่านี่แหระประโยชน์ของความอดทนรอ สู้ต่อไปนะครับ ยังมีอะไรที่มากกว่าเงิน
เห็นด้วยกับพี่ Pop
จึงเอาเรื่องเล่า-ข่าวนี้มาเสริมเป็นกำลังใจอีกแรง เพื่อให้คุณเห็นว่าชีวิตของคุณยังโชคดีที่ยังแข็งแรงและมีงานทำครับ
ชีวิตรันทด! 2 หญิงชรา จับแมลงสาบ-หนูกินประทังชีพ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ใครที่คิดว่าตัวเองลำบากแล้ว ลองมาอ่านเรื่องราวของ 2 หญิงชราในจังหวัดกาญจนบุรีกันดู แล้วจะรู้ว่า คนที่ใช้ชีวิตลำบากกว่าเรายังมีอีกมากค่ะ
โดยเรื่องราวของ 2 หญิงชราที่สุดแสนจะรันทดนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสิริชัย สังขจรัส ชาวตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ว่า พบหญิงชราสองคนพี่น้อง คือ นางบัวเงิน ปัญญา อายุ 75 ปี และนางดวงใจ กันทิมา อายุ 80 ปี อาศัยอยู่ในกระต๊อบหลังหนึ่งที่สภาพทรุดโทรมมาก ไม่มีเลขที่ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของนายสิริชัย โดยทั้งสองพี่น้องมีฐานะยากจนมาก บางวันไม่มีเงินแม้แต่จะซื้ออาหารทาน จึงยอมกินแม้กระทั่งหนู และแมลงสาบที่วิ่งเข้ามาในบ้าน เพื่อประทังความหิวไปวัน ๆ
โดยยายบัวเงิน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีชายชาวต่างชาติสงสารที่พวกตนยากจน จึงมาสร้างบ้านหลังนี้ให้ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไป ส่วนลูกบุญธรรมที่พวกตนอุปการะไว้ ก็หนีออกจากบ้านไปนานแล้ว และไม่กลับมาอีกเลย เพราะทนอยู่ในสภาพที่ยากลำบากเช่นนี้ไม่ไหว ตนจึงอาศัยอยู่กับพี่สาววัย 80 ปี ในบ้านหลังนี้กันเพียงสองคนมานาน 40-50 ปีแล้ว และต้องคอยดูแลพี่สาวซึ่งเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ แม้ว่าตนจะมีสภาพร่างกายไม่ต่างไปจากพี่สาวสักเท่าไหร่
ยายบัวเงิน บอกเล่าชีวิตที่รันทดต่อว่า ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ไม่ได้ทำงาน ทำให้บางวันพวกตนไม่มีเงินไปซื้อหาอะไรมากิน ก็จำเป็นต้องจับหนู หรือแมลงสาบที่วิ่งผ่านเข้ามาในบ้าน เป็นอาหารประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวัน ๆ แต่หากวันใดไม่มีทั้งหนู และแมลงสาบ พวกตนก็จะดื่มน้ำที่เพื่อนบ้านช่วยตักมาให้ กลั้วท้องให้หายหิว ซึ่งหากวันใดน้ำหมด ตนและพี่สาวก็ต้องทนหิว เพราะสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถลงไปตักน้ำที่บ่อน้ำหลังบ้านได้ ทำได้แต่เพียงรอให้เพื่อนบ้านตักน้ำมาให้ดื่มเท่านั้น
ขณะที่นายแขก เพื่อนบ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า คุณยายทั้งสองคนรักกันมาก และคุณยายบัวเงินจะคอยดูแลพี่สาวมาตลอด ซึ่งแม้ว่าทั้งคู่จะยากจน ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านเลย แต่เพื่อนบ้านก็มักจะมาช่วยเหลือคุณยายเท่าที่จะช่วยได้ เพราะรู้สึกสงสารคุณยายทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ นายสิริชัย ได้กล่าวด้วยว่า คุณยายทั้งสองแม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ก็ยังไม่เคยได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงขอวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ใจบุญเข้ามาช่วยเหลือคุณยายทั้งสองด้วย เพราะเพื่อนบ้านบริเวณนั้นก็มีฐานะยากจนไม่ต่างไปจากคุณยายเลย
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะช่วยเหลือคุณยาย กรุณาติดต่อมายังนายสิริชัย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 082-242-4177
"ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบกันเท่านั้น"
E-mail suppadej@gmail.com
#7
Posted 04 February 2011 - 03:15 PM
ลองอ่านดูครับ "ส่องชีวิตเซเลบระดับโลก ก่อนจะเป็นดาวดัง"
เพราะสักวันคุณอาจเป็นเซเลบระดับโลกก้อได้ครับ
ก่อนจะเป็นดาวดัง ทุกคนต้องเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง... (Lisa)
ก่อนจะมีชื่อเสียงในทุกวันนี้ คุณเคยสงสัยไหมว่าเหล่าเซเลบทั้งหลายทำอะไรกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานที่แสนจะธรรมดาเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ หรือเพิ่งก้าวเตาะแตะอยู่ในวงการบันเทิง เหล่าคนดังต่างก็เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งสิ้น...
ทอม ครูซ ในช่วงวัยเยาว์ เขาเกือบไม่ได้เป็นดาราดังซะแล้ว เพราะเขาเคยเข้าอบรมเพื่อเตรียมตัวเป็นบาทหลวง และช่วงหนึ่งเขาเคยเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ของ Louisville Courier-Journal ในเคนทักกี้มาก่อน
เอลเลน ดีเจเนอเรส ..."ฉันค่อนข้างชอบงานแรกของตัวเองนะ ฉันได้เป็นคนขับรถในร้านรับล้างรถ ได้ขับรถสวย ๆ แล้วก็เช็ดหน้าปัดรถจนเป็นมันวับ" เอลเลน เคยให้สัมภาษณ์เช่นนั้น ตอนไปออกรายการของ ลาร์รี่ คิง "งานที่แย่ที่สุดที่เคยทำ แล้วทำได้เพียงแค่ครึ่งวันก็คือ งานในโรงงานทำถุงมือที่แอตแลนตา มันแย่ที่สุด ฉันต้องตรวจสอบถุงมือที่เรียงเป็นแถวตรงหน้า เพื่อดูว่ามันมีรูหรือมีนิ้วเกินมาหรือเปล่า งานอะไรก็ตามที่เป็นงานออฟฟิศต้องทำเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ฉันไม่ชอบทั้งนั้น ฉันไม่ชอบนั่งอยู่ในออฟฟิศ"
มาดอนน่า เธอเคยมีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่มีเงินเพียง 35 เหรียญ ตอนที่ย้ายไปอยู่นิวยอร์กเพื่อไล่ตามความฝันและชื่อเสียง และในระหว่างที่เริ่มทำงานเป็นแดนเชอร์ เธอก็ทำงานที่ร้าน Dunkin' Donuts ในย่านไทม์สแควร์ไปด้วย
มารายห์ แครี่ย์ เธอเริ่มออกแผ่นเสียงครั้งแรกในปี 1990 และก็มีผลงานเพลงพุ่งขึ้นติดชาร์ต Billboard Hot 100 Chart ตั้งแต่อัลบั้มแรก แต่ก่อนหน้าที่ดาวดังดวงนี้จะเริ่มจรัสแสง เธอทำมาหาเลี้ยงชีพมาแล้วหลายอย่าง ทั้งเป็นพนักงานประจำห้องรับฝากเสื้อโค้ต เป็นคนกวาดพื้นในร้านเสริมสวย แล้วก็เป็นพนักงานเสิร์ฟ
ออร์แลนโด้ บลูม จากบทบาทในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องดัง "The Lord of The Rings" ทำให้ออร์แลนโด้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ย้อนกลับไปในสมัยวัยรุ่น ออร์แลนโด้เคยทำงานเป็นคนร่อนเป้าบินในสนามยิงปืนมาก่อน
แมทธิว แม็กคอนนาเฮย์ หนุ่มหล่อหวานใจสาว ๆ คนนี้ เรียนไม่จบไฮสกูล และเคยทำงานเป็นคนกวาดขี้ไก่มาก่อน ตอนที่เขาอยู่ออสเตรเลีย
เฟอร์กี้ นักร้องนำของวง Black Eyed Peas อันโด่งดัง รวมทั้งยังมีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย และก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักร้อง เฟอร์กี้ก็ทำงานใช้เสียงมาก่อน แต่เป็นคนพากย์การ์ตูน โดยเคยเป็นคนให้เสียง "แซลลี่" ในการ์ตูนดังเรื่อง "Charlie Brown" มาก่อน
แอชตัน คุทเชอร์ ก่อนจะมาโด่งดังจากซีรี่ส์ "That 70s Show" และก้าวเข้าสู่หนังจอใหญ่ แถมยังได้บารมีจากแฟนสาวใหญ่ เดมี่ มัวร์ จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเช่นในทุกวันนี้ แอชตัน เคยทำงานเป็นพนักงานประจำสถานรับเลี้ยงเด็กมาก่อน
เคต วินสเล็ต ดาราสาวเจ้าของรางวัลออสการ์จาก "The Reader" มีผลงานการแสดงครั้งแรกในปี 1994 และก็มีผลงานที่โดดเด่นน่าจับตาอีกหลายเรื่อง เช่น Sense and Sensibility และ Titanic แต่ก่อนหน้านั้น เธอหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานร้านเบเกอรี่ในลอนดอน
เฟธ ฮิลล์ ก่อนหน้าจะมาเป็น มิสซิสแม็กกรอว์ และมีอัลบั้มที่ขายได้กว่า 30 ล้านแผ่น และได้รับรางวัลมานับไม่ถ้วน เฟธ ฮิลล์ ต้องเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการขายเสื้อยืดตามงานเทศกาลต่าง ๆ เป็นพนักงานต้อนรับ และยังเคยทำงานให้แก่เจ้าแม่เพลงลูกทุ่งอย่าง รีบ้า แม็กอินไทร์ มาก่อนด้วย
ราล์ฟ ลอเรน ทุกวันนี้ ราล์ฟ ถือเป็นเบอร์ต้น ๆ ในวงการออกแบบเสื้อผ้า จากจุดเริ่มต้นที่ทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าที่ร้านของ Brooks Brothers มาก่อน
แดนเซล วอชิงตัน ตอนอายุ 11 ปี แม่ของแดนเซล หางานให้เขาทำครั้งแรกในร้านตัดผมชื่อ Modernistic ซึ่ง แดนเซล เคยเล่าถึงตอนไปออกรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ ว่า มันทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับค่าของเงิน
ไซมอน คาวเวลล์ หลังจากออกจากโรงเรียนตอนอายุแค่ 16 ไซมอนก็ทำงานแปลก ๆ มาหลายต่อหลายงาน ก่อนที่จะได้งานในห้องไปรษณีย์ของบริษัทแผ่นเสียง EMI Records "ผมเข้าใจโดยไม่ต้องมีใครบอกว่า นี้ไม่ใช่อะไรที่คุณจะได้มาเปล่า ๆ นี่เป็นงานที่คุณสามารถล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จได้ก็ด้วย ความอดทนและสัญชาตญาณของตัวเอง" คาวเวลล์เคยบอกเช่นนั้น "ผมก็ทำให้แทบทุกคนเกือบเป็นบ้าเวลาที่ผมเดินเอาไปรษณีย์เข้าไปให้ เพราะผมจะเข้าไป แล้วก็บอกทุกคนว่าเขาควรจะให้งานที่ดีกว่านี้กับผม"
จอร์จ คลูนีย์ สมัยที่อยู่บ้านเกิดในรัฐเคนทักกี้ หนุ่มใหญ่หวานใจสาว ๆ คนนี้เคยทำงานขายเสื้อผ้าและรองเท้าผู้ชาย และทำงานในห้องเก็บสินค้าของห้างสรรพสินค้ามาก่อน เขายังเคยทำงานตัดยาสูบที่ได้เงินชั่วโมงละ 3 เหรียญ และเมื่อมาอยู่แอลเอใหม่ ๆ เขาก็ทำงานเป็นคนงานก่อสร้างและทำความสะอาดโรงละครเพื่อหาเงินมาเรียนการแสดง
เพราะสักวันคุณอาจเป็นเซเลบระดับโลกก้อได้ครับ
ก่อนจะเป็นดาวดัง ทุกคนต้องเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง... (Lisa)
ก่อนจะมีชื่อเสียงในทุกวันนี้ คุณเคยสงสัยไหมว่าเหล่าเซเลบทั้งหลายทำอะไรกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานที่แสนจะธรรมดาเพื่อหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ หรือเพิ่งก้าวเตาะแตะอยู่ในวงการบันเทิง เหล่าคนดังต่างก็เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งสิ้น...
ทอม ครูซ ในช่วงวัยเยาว์ เขาเกือบไม่ได้เป็นดาราดังซะแล้ว เพราะเขาเคยเข้าอบรมเพื่อเตรียมตัวเป็นบาทหลวง และช่วงหนึ่งเขาเคยเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ของ Louisville Courier-Journal ในเคนทักกี้มาก่อน
เอลเลน ดีเจเนอเรส ..."ฉันค่อนข้างชอบงานแรกของตัวเองนะ ฉันได้เป็นคนขับรถในร้านรับล้างรถ ได้ขับรถสวย ๆ แล้วก็เช็ดหน้าปัดรถจนเป็นมันวับ" เอลเลน เคยให้สัมภาษณ์เช่นนั้น ตอนไปออกรายการของ ลาร์รี่ คิง "งานที่แย่ที่สุดที่เคยทำ แล้วทำได้เพียงแค่ครึ่งวันก็คือ งานในโรงงานทำถุงมือที่แอตแลนตา มันแย่ที่สุด ฉันต้องตรวจสอบถุงมือที่เรียงเป็นแถวตรงหน้า เพื่อดูว่ามันมีรูหรือมีนิ้วเกินมาหรือเปล่า งานอะไรก็ตามที่เป็นงานออฟฟิศต้องทำเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ฉันไม่ชอบทั้งนั้น ฉันไม่ชอบนั่งอยู่ในออฟฟิศ"
มาดอนน่า เธอเคยมีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่มีเงินเพียง 35 เหรียญ ตอนที่ย้ายไปอยู่นิวยอร์กเพื่อไล่ตามความฝันและชื่อเสียง และในระหว่างที่เริ่มทำงานเป็นแดนเชอร์ เธอก็ทำงานที่ร้าน Dunkin' Donuts ในย่านไทม์สแควร์ไปด้วย
มารายห์ แครี่ย์ เธอเริ่มออกแผ่นเสียงครั้งแรกในปี 1990 และก็มีผลงานเพลงพุ่งขึ้นติดชาร์ต Billboard Hot 100 Chart ตั้งแต่อัลบั้มแรก แต่ก่อนหน้าที่ดาวดังดวงนี้จะเริ่มจรัสแสง เธอทำมาหาเลี้ยงชีพมาแล้วหลายอย่าง ทั้งเป็นพนักงานประจำห้องรับฝากเสื้อโค้ต เป็นคนกวาดพื้นในร้านเสริมสวย แล้วก็เป็นพนักงานเสิร์ฟ
ออร์แลนโด้ บลูม จากบทบาทในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องดัง "The Lord of The Rings" ทำให้ออร์แลนโด้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ย้อนกลับไปในสมัยวัยรุ่น ออร์แลนโด้เคยทำงานเป็นคนร่อนเป้าบินในสนามยิงปืนมาก่อน
แมทธิว แม็กคอนนาเฮย์ หนุ่มหล่อหวานใจสาว ๆ คนนี้ เรียนไม่จบไฮสกูล และเคยทำงานเป็นคนกวาดขี้ไก่มาก่อน ตอนที่เขาอยู่ออสเตรเลีย
เฟอร์กี้ นักร้องนำของวง Black Eyed Peas อันโด่งดัง รวมทั้งยังมีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองด้วย และก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักร้อง เฟอร์กี้ก็ทำงานใช้เสียงมาก่อน แต่เป็นคนพากย์การ์ตูน โดยเคยเป็นคนให้เสียง "แซลลี่" ในการ์ตูนดังเรื่อง "Charlie Brown" มาก่อน
แอชตัน คุทเชอร์ ก่อนจะมาโด่งดังจากซีรี่ส์ "That 70s Show" และก้าวเข้าสู่หนังจอใหญ่ แถมยังได้บารมีจากแฟนสาวใหญ่ เดมี่ มัวร์ จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเช่นในทุกวันนี้ แอชตัน เคยทำงานเป็นพนักงานประจำสถานรับเลี้ยงเด็กมาก่อน
เคต วินสเล็ต ดาราสาวเจ้าของรางวัลออสการ์จาก "The Reader" มีผลงานการแสดงครั้งแรกในปี 1994 และก็มีผลงานที่โดดเด่นน่าจับตาอีกหลายเรื่อง เช่น Sense and Sensibility และ Titanic แต่ก่อนหน้านั้น เธอหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานร้านเบเกอรี่ในลอนดอน
เฟธ ฮิลล์ ก่อนหน้าจะมาเป็น มิสซิสแม็กกรอว์ และมีอัลบั้มที่ขายได้กว่า 30 ล้านแผ่น และได้รับรางวัลมานับไม่ถ้วน เฟธ ฮิลล์ ต้องเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการขายเสื้อยืดตามงานเทศกาลต่าง ๆ เป็นพนักงานต้อนรับ และยังเคยทำงานให้แก่เจ้าแม่เพลงลูกทุ่งอย่าง รีบ้า แม็กอินไทร์ มาก่อนด้วย
ราล์ฟ ลอเรน ทุกวันนี้ ราล์ฟ ถือเป็นเบอร์ต้น ๆ ในวงการออกแบบเสื้อผ้า จากจุดเริ่มต้นที่ทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าที่ร้านของ Brooks Brothers มาก่อน
แดนเซล วอชิงตัน ตอนอายุ 11 ปี แม่ของแดนเซล หางานให้เขาทำครั้งแรกในร้านตัดผมชื่อ Modernistic ซึ่ง แดนเซล เคยเล่าถึงตอนไปออกรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ ว่า มันทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับค่าของเงิน
ไซมอน คาวเวลล์ หลังจากออกจากโรงเรียนตอนอายุแค่ 16 ไซมอนก็ทำงานแปลก ๆ มาหลายต่อหลายงาน ก่อนที่จะได้งานในห้องไปรษณีย์ของบริษัทแผ่นเสียง EMI Records "ผมเข้าใจโดยไม่ต้องมีใครบอกว่า นี้ไม่ใช่อะไรที่คุณจะได้มาเปล่า ๆ นี่เป็นงานที่คุณสามารถล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จได้ก็ด้วย ความอดทนและสัญชาตญาณของตัวเอง" คาวเวลล์เคยบอกเช่นนั้น "ผมก็ทำให้แทบทุกคนเกือบเป็นบ้าเวลาที่ผมเดินเอาไปรษณีย์เข้าไปให้ เพราะผมจะเข้าไป แล้วก็บอกทุกคนว่าเขาควรจะให้งานที่ดีกว่านี้กับผม"
จอร์จ คลูนีย์ สมัยที่อยู่บ้านเกิดในรัฐเคนทักกี้ หนุ่มใหญ่หวานใจสาว ๆ คนนี้เคยทำงานขายเสื้อผ้าและรองเท้าผู้ชาย และทำงานในห้องเก็บสินค้าของห้างสรรพสินค้ามาก่อน เขายังเคยทำงานตัดยาสูบที่ได้เงินชั่วโมงละ 3 เหรียญ และเมื่อมาอยู่แอลเอใหม่ ๆ เขาก็ทำงานเป็นคนงานก่อสร้างและทำความสะอาดโรงละครเพื่อหาเงินมาเรียนการแสดง
"ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบกันเท่านั้น"
E-mail suppadej@gmail.com
#8
Posted 04 February 2011 - 04:25 PM
เป็นกำลังจัยให้ต่อสู่ต่อไปคับ
ถ้าเราสู่กันเต็มที่ บริษท์มีกำไร โบนัสเราก้ต้องได้คับ..
ถ้าเราสู่กันเต็มที่ บริษท์มีกำไร โบนัสเราก้ต้องได้คับ..
#9
Posted 04 February 2011 - 07:09 PM
QUOTE(PomPam @ Feb 4 2011, 04:25 PM) <{POST_SNAPBACK}>
เป็นกำลังจัยให้ต่อสู่ต่อไปคับ
ถ้าเราสู่กันเต็มที่ บริษท์มีกำไร โบนัสเราก้ต้องได้คับ..
ถ้าเราสู่กันเต็มที่ บริษท์มีกำไร โบนัสเราก้ต้องได้คับ..
กำไรหลักร้อยล้าน (ผู้ใหญ่คนนึงบอก) แล้วผู้บริหารก้เคยบอกว่าจะให้โบนัส แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ คือเสียความรู้สึกมากกว่าอ่ะคับ ถ้าไม่ให้ ก็น่าจะบอกกันตั้งแต่ตอนแรก เหมือนกับตอนเซ็นต์หนังสือปรับรายได้ประจำปี
ว่าเราได้เท่านี้นะ แต่พอเงินออกได้ไม่ถึงตามที่แจ้งไว้ พอสอบถามกลับ ก้ได้คำตอบว่า รายได้ที่จุดนี้ บริษัทไม่ได้ให้ ให้แค่ส่วนนี้
อ้าว ! แล้วมาแจ้งเราทำไม งานหนัก ทำเกินหน้าที่ไม่เท่าไหร่ แต่มาเจอแบบนี้เสียความรู้สึกอ่ะคับ
แต่ยังไงผมขอขอบคุณสำหรับกำลังใจ และคำแนะนำจากทุก ๆ ท่านด้วยคับ





#10
Posted 04 February 2011 - 09:26 PM
ตอบแบบเป็นกลางนะครับ ตอนที่เราเซ็นสัญญากับเขา เขาบอกในสัญญาหรือเปล่า ว่าจะให้โบนัสแน่นอน?
ถ้าไม่ได้บอก ก็อย่าไปตีอกชกหัวเลยครับ ได้เงินเดือนก็ดีแล้ว เค้าก็ให้ตามสิทธิที่เราควรได้ตามกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในวงการอุตสาหกรรมตอนนี้ ก็คือทัศนคติแบบได้คืบจะเอาศอกนี่ล่ะครับ
ผมเข้าใจครับว่าผลประกอบการดี เราเองในฐานะคนทำงานก็อยากได้ค่าตอบแทนที่มันคุ้มค่ากัน แต่นะครับ หากเราคิดอย่างมีเหตุผลเราก็น่าจะยินดีกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่เราได้ตกลงกับนาย
จ้างไปตั้งแต่แรกแล้ว จริงไหมครับ โบนัสมันเป็นแค่อะไรที่ได้มาเหมือนลาภลอย
ถ้าเราไม่พอใจกับสวัสดิการ หรืออะไรๆ ที่องค์กรนี้ให้ ผมว่าคงมีทางเดียวล่ะครับ คือต้องถอยไปหาที่ตั้งหลักใหม่ ที่ดูจะดีกว่านี้ สวัสดิการ เงินเดือน โบนัส หรืออะไรต่างๆ ดีกว่านี้ ความสามารถเรามี จบการศึกษามาก็จากสถาบันที่ดี ไม่ต้องกลัวหรอกครับลุยเลย ผมเอาใจช่วยจากใจจริงครับ
ถ้าไม่ได้บอก ก็อย่าไปตีอกชกหัวเลยครับ ได้เงินเดือนก็ดีแล้ว เค้าก็ให้ตามสิทธิที่เราควรได้ตามกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในวงการอุตสาหกรรมตอนนี้ ก็คือทัศนคติแบบได้คืบจะเอาศอกนี่ล่ะครับ
ผมเข้าใจครับว่าผลประกอบการดี เราเองในฐานะคนทำงานก็อยากได้ค่าตอบแทนที่มันคุ้มค่ากัน แต่นะครับ หากเราคิดอย่างมีเหตุผลเราก็น่าจะยินดีกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่เราได้ตกลงกับนาย
จ้างไปตั้งแต่แรกแล้ว จริงไหมครับ โบนัสมันเป็นแค่อะไรที่ได้มาเหมือนลาภลอย
ถ้าเราไม่พอใจกับสวัสดิการ หรืออะไรๆ ที่องค์กรนี้ให้ ผมว่าคงมีทางเดียวล่ะครับ คือต้องถอยไปหาที่ตั้งหลักใหม่ ที่ดูจะดีกว่านี้ สวัสดิการ เงินเดือน โบนัส หรืออะไรต่างๆ ดีกว่านี้ ความสามารถเรามี จบการศึกษามาก็จากสถาบันที่ดี ไม่ต้องกลัวหรอกครับลุยเลย ผมเอาใจช่วยจากใจจริงครับ
ลายเซ็น
#11
Posted 04 February 2011 - 11:17 PM
QUOTE(DooK @ Feb 4 2011, 09:26 PM) <{POST_SNAPBACK}>
ตอบแบบเป็นกลางนะครับ ตอนที่เราเซ็นสัญญากับเขา เขาบอกในสัญญาหรือเปล่า ว่าจะให้โบนัสแน่นอน?
ถ้าไม่ได้บอก ก็อย่าไปตีอกชกหัวเลยครับ ได้เงินเดือนก็ดีแล้ว เค้าก็ให้ตามสิทธิที่เราควรได้ตามกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในวงการอุตสาหกรรมตอนนี้ ก็คือทัศนคติแบบได้คืบจะเอาศอกนี่ล่ะครับ
ผมเข้าใจครับว่าผลประกอบการดี เราเองในฐานะคนทำงานก็อยากได้ค่าตอบแทนที่มันคุ้มค่ากัน แต่นะครับ หากเราคิดอย่างมีเหตุผลเราก็น่าจะยินดีกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่เราได้ตกลงกับนาย
จ้างไปตั้งแต่แรกแล้ว จริงไหมครับ โบนัสมันเป็นแค่อะไรที่ได้มาเหมือนลาภลอย
ถ้าเราไม่พอใจกับสวัสดิการ หรืออะไรๆ ที่องค์กรนี้ให้ ผมว่าคงมีทางเดียวล่ะครับ คือต้องถอยไปหาที่ตั้งหลักใหม่ ที่ดูจะดีกว่านี้ สวัสดิการ เงินเดือน โบนัส หรืออะไรต่างๆ ดีกว่านี้ ความสามารถเรามี จบการศึกษามาก็จากสถาบันที่ดี ไม่ต้องกลัวหรอกครับลุยเลย ผมเอาใจช่วยจากใจจริงครับ
ถ้าไม่ได้บอก ก็อย่าไปตีอกชกหัวเลยครับ ได้เงินเดือนก็ดีแล้ว เค้าก็ให้ตามสิทธิที่เราควรได้ตามกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในวงการอุตสาหกรรมตอนนี้ ก็คือทัศนคติแบบได้คืบจะเอาศอกนี่ล่ะครับ
ผมเข้าใจครับว่าผลประกอบการดี เราเองในฐานะคนทำงานก็อยากได้ค่าตอบแทนที่มันคุ้มค่ากัน แต่นะครับ หากเราคิดอย่างมีเหตุผลเราก็น่าจะยินดีกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่เราได้ตกลงกับนาย
จ้างไปตั้งแต่แรกแล้ว จริงไหมครับ โบนัสมันเป็นแค่อะไรที่ได้มาเหมือนลาภลอย
ถ้าเราไม่พอใจกับสวัสดิการ หรืออะไรๆ ที่องค์กรนี้ให้ ผมว่าคงมีทางเดียวล่ะครับ คือต้องถอยไปหาที่ตั้งหลักใหม่ ที่ดูจะดีกว่านี้ สวัสดิการ เงินเดือน โบนัส หรืออะไรต่างๆ ดีกว่านี้ ความสามารถเรามี จบการศึกษามาก็จากสถาบันที่ดี ไม่ต้องกลัวหรอกครับลุยเลย ผมเอาใจช่วยจากใจจริงครับ
ขอบคุณคับ อ. ดุ๊ก





1 user(s) are reading this topic
0 members, 1 guests, 0 anonymous users