บริษัทผมทำ ISO แบบไหนไม่รู้
คือไม่ได้ต้องการใบรับรอง เอาเฉพาะหลักการในส่วนที่คิดว่ามีประโยชน์มาใช้โดยมีเอกสารของบริษัทในเครือที่ได้รั
บการรับรองแล้วมาศึกษา บางอย่างเห็นว่ามากเกินไปก็ไม่ทำตามเค้า ขอตัดออก ตัดไปตัดมาก็เริ่มสงสัยครับว่าเราตัดมากไปหรือเปล่า เลยอยากถามความคิดเห็นเพื่อนๆในแวดวง ISO ว่า ถ้าต้องการทำงานให้เป็นระบบโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจรับรอง กิจกรรมไหนใน ISO ที่น่าจะปรับได้บ้างครับ
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการกำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพ บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับคุณภาพแต่เกี่ยวกับการลดต้นทุน เราคิดว่าเรากำหนดแบบนี้แล้วได้ประโยชน์กับบริษัทก็ใส่ๆเข้ามา รวมกับเรื่องวัตถุประสงค์คุณภาพไปเลย
สมมุติถ้าเพื่อนๆทำงานในบริษัทเดียวกับผม คิดว่าจะปรับ ISO กันแบบไหนดีครับ
ท่านที่สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ กรุณารอให้ Admin ได้ทำการ Validate การเป็นสมาชิก ภายใน 24 ชม.ของวันทำการ ซึ่งระหว่างที่รอ Validation ท่านอาจจะยังไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้ หากไม่ได้รับความสะดวก กรุณาอีเมลแจ้ง isothainetwork@hotmail.com
ถ้ามีสิทธิ์ตัดข้อกำหนด ISO 9001 เรื่องที่ไม่เต็มใจทำ ... จะตัดอะไรดีครับ
Started by
vech
, Oct 23 2008 09:16 PM
7 replies to this topic
#1
Posted 23 October 2008 - 09:16 PM
#2
Posted 23 October 2008 - 10:20 PM
การจะขอยกเว้นข้อกำหนด ไม่อาจทำตามอำเภอใจได้หรอกครับ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ 1.2 ซึ่งกำหนดให้
ขอยกเว้นได้เฉพาะข้อกำหนดที่ 7 ซึ่งการยกเว้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อความสามารถขององค์กร หรือความรับผิดชอบต่อการเสนอผลิตภัณฑ์ซึ่งบรรลุตามข้อกำหนดของลูกค้าและกฎข้อบังคับท
ี่เกี่ยวข้อง
เช่น ถ้าบริษัทของท่าน เป็นมือปืนรับจ้างฉีดพลาสติก วัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการฉีดพลาสติก ใช้ของลูกค้าสถานเดียว อย่างนี้เข้าข่ายที่จะขอยกเว้นข้อ 7.4 หรือว่า บริษัทของท่านเป็นบริษัทขนส่งทางบก ซึ่งไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการ ออกแบบ อย่างนี้ก็เข้าข่ายที่จะขอยกเว้นข้อ 7.3 เป็นต้น
ขอยกเว้นได้เฉพาะข้อกำหนดที่ 7 ซึ่งการยกเว้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อความสามารถขององค์กร หรือความรับผิดชอบต่อการเสนอผลิตภัณฑ์ซึ่งบรรลุตามข้อกำหนดของลูกค้าและกฎข้อบังคับท
ี่เกี่ยวข้อง
เช่น ถ้าบริษัทของท่าน เป็นมือปืนรับจ้างฉีดพลาสติก วัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการฉีดพลาสติก ใช้ของลูกค้าสถานเดียว อย่างนี้เข้าข่ายที่จะขอยกเว้นข้อ 7.4 หรือว่า บริษัทของท่านเป็นบริษัทขนส่งทางบก ซึ่งไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการ ออกแบบ อย่างนี้ก็เข้าข่ายที่จะขอยกเว้นข้อ 7.3 เป็นต้น
"
#3
Posted 24 October 2008 - 10:45 AM
จากกระทู้ที่ถามว่าคาดว่าวัตถุประสงค์คือต้องการนำเอาข้อกำหนด ISO ไปพัฒนาใช้ในองค์กรโดยไม่ต้องขอรับใบ CER ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ในข้อกำหนดที่คุณไม่สนใจที่จะไปใช้ที่เห็นว่าพอตัดได้ คือ การทบทวนของผู้บริหาร โดยหัวข้อการทบทวนไม่จำเป็นต้องครบถ้วนตามที่ระบุ แต่อาจปรับให้สอดคล้องกับ KPI ที่คุณบอกเรื่องการลดต้นทุนได้ การตรวจติดตามภายใน การออกใบ CAR/PAR การฝึกอบรม การออกแบบ เป็นต้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีระบบ ISO แต่ละข้อมีนัยสำคัญอยู่ ซึ่งหากดำเนินการตามข้อกำหนดก็จะมีประสิทธผลทำให้องค์กรดีขึ้น แต่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการลงทุนด้วย และเป้าหมายที่องค์กรคาดหวังจะได้จากการนำไปใช้
การมีความรู้ มาจากการเรียนรู้ และปฏิบัติ หากเรียนอย่างเดียวไม่ปฏิบัีติก็เรียกว่ารุ้ไม่จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451
#4
Posted 24 October 2008 - 05:17 PM
มีน้อยที่ไม่ต้องการใบ Cer
แต่ระบบก็มีประโยชน์จริงๆครับ
แต่ระบบก็มีประโยชน์จริงๆครับ
#5
Posted 27 October 2008 - 12:42 PM
สิ่งที่ขาดแน่ๆ ก็คือมุมมองจากบุคคลภายนอก เพื่อช่วยในการปรับปรุงระบบครับ
ในมุมมองของผม ถ้าเราเข้าใจและนำมาใช้อย่างเข้าใจ ใบCertification ก็ไม่จำเป็นครับ
แต่ถ้ายังไม่มั่นใจมากมายนัก ใช้มืออาชีพมาช่วยตรวจสอบ ช่วยปรับจูนระบบ จะทำให้ไม่หลงทางได้ง่ายกว่าครับ
บางทีอาจจะเข้าทำนอง เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ก็ได้ครับ ลองพิจารณาดู
อ้อ เวลาเลือก CB พึงระลึกไว้เสมอว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลกครับ อย่าเลือกที่ถูกเกินไปจนได้แต่รายงานกับใบรับรอง แล้วก็อย่าเลือกแพงจนเกินไป จนทำให้งบประมาณของเรามีปัญหาครับ
ในมุมมองของผม ถ้าเราเข้าใจและนำมาใช้อย่างเข้าใจ ใบCertification ก็ไม่จำเป็นครับ
แต่ถ้ายังไม่มั่นใจมากมายนัก ใช้มืออาชีพมาช่วยตรวจสอบ ช่วยปรับจูนระบบ จะทำให้ไม่หลงทางได้ง่ายกว่าครับ
บางทีอาจจะเข้าทำนอง เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ก็ได้ครับ ลองพิจารณาดู
อ้อ เวลาเลือก CB พึงระลึกไว้เสมอว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลกครับ อย่าเลือกที่ถูกเกินไปจนได้แต่รายงานกับใบรับรอง แล้วก็อย่าเลือกแพงจนเกินไป จนทำให้งบประมาณของเรามีปัญหาครับ
#6
Posted 28 October 2008 - 10:39 PM
ขอบคุณครับ
บริษัทเราไม่ต้องการใบ Cert. จริงๆครับ แค่อยากทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และเห็นว่า ISO จะช่วยได้
หลังจากปรับใช้ ISO (แบบประยุกต์) มา 4 เดือน รู้สึกว่างานเป็นระบบขึ้นเยอะ เลยอยากได้ Idea เพิ่มเติมจากชาว ISO ว่าน่าจะปรับอะไรได้อีกบ้าง แต่แนวคิดแบบนี้คงแปลกเกินไปครับ เพราะคนส่วนใหญ่ทำ ISO แบบเต็มรูปแบบและเน้นขอการรับรองมากกว่า
บริษัทเราไม่ต้องการใบ Cert. จริงๆครับ แค่อยากทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และเห็นว่า ISO จะช่วยได้
หลังจากปรับใช้ ISO (แบบประยุกต์) มา 4 เดือน รู้สึกว่างานเป็นระบบขึ้นเยอะ เลยอยากได้ Idea เพิ่มเติมจากชาว ISO ว่าน่าจะปรับอะไรได้อีกบ้าง แต่แนวคิดแบบนี้คงแปลกเกินไปครับ เพราะคนส่วนใหญ่ทำ ISO แบบเต็มรูปแบบและเน้นขอการรับรองมากกว่า
#7
Posted 29 October 2008 - 07:43 AM
QUOTE(vech @ Oct 28 2008, 10:39 PM) <{POST_SNAPBACK}>
ขอบคุณครับ
บริษัทเราไม่ต้องการใบ Cert. จริงๆครับ แค่อยากทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และเห็นว่า ISO จะช่วยได้
หลังจากปรับใช้ ISO (แบบประยุกต์) มา 4 เดือน รู้สึกว่างานเป็นระบบขึ้นเยอะ เลยอยากได้ Idea เพิ่มเติมจากชาว ISO ว่าน่าจะปรับอะไรได้อีกบ้าง แต่แนวคิดแบบนี้คงแปลกเกินไปครับ เพราะคนส่วนใหญ่ทำ ISO แบบเต็มรูปแบบและเน้นขอการรับรองมากกว่า
บริษัทเราไม่ต้องการใบ Cert. จริงๆครับ แค่อยากทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น และเห็นว่า ISO จะช่วยได้
หลังจากปรับใช้ ISO (แบบประยุกต์) มา 4 เดือน รู้สึกว่างานเป็นระบบขึ้นเยอะ เลยอยากได้ Idea เพิ่มเติมจากชาว ISO ว่าน่าจะปรับอะไรได้อีกบ้าง แต่แนวคิดแบบนี้คงแปลกเกินไปครับ เพราะคนส่วนใหญ่ทำ ISO แบบเต็มรูปแบบและเน้นขอการรับรองมากกว่า
ไม่เลยครับคุณ Vech
ผมเห็นว่าดีซะอีกที่ทำแบบนี้ เพราะถึงแม้ว่าการมีใบ Cert จาก CB แต่ถ้าทำกันแบบผักชีโรยหน้าเหมือนปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ จริงมั้ยครับ?
สู้ทำแบบของบริษัทของคุณ Vech ที่เน้นการปฏิบัติมากกว่า โดยมีคนดูแลมือดีๆ หน่อย จะได้ประโยชน์มากครับ และประหยัดเงินดีด้วย
การบริหารแบบ ISO 9001 มันเป็นแบบ Hard Core เกินไปนิดนึงด้วยครับ นั่นเป็นจุดสำคัญ
ที่ผมบอกว่าเป็น Hard Core เพราะมีการบังคับให้ทำโน่นทำนี่มากจนเกินความจำเป็นสำหรับบางองค์กร
เยี่ยมครับ
ลายเซ็น
#8
Posted 30 October 2008 - 08:41 AM
ขอแชร์จากสิ่งที่เคยประสบมาหน่อยนะครับ เผื่อจะมีประโยชน์
ผมเห็นว่า
1.ถ้าเป็นในกรณีของบริษัท ที่ยังไม่เคยได้รับการรับรองจากCBเลย แล้วนำข้อกำหนดของISO มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร ถึงจะนำข้อกำหนดมาใช้ไม่ครบทุกข้อก็ตาม (เลือกมาเฉพาะที่จำเป็น) ก็จะเห็นว่าการทำแบบนี้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด เพราะแต่ละข้อของข้อกำหนดล้วนแต่ทำให้เกิดการทำงานที่เป็นระบบ รัดกุม แต่อาจจะรู้สึกว่าจุกจิกไปหน่อยและใช้เวลามากกว่าการทำงานแบบลูกทุ่ง(แบบไม่มีระบบ) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำงานซ้ำหลายครั้ง
2. ถ้าเป็นกรณีของบริษัทที่เคยได้รับการรับรองแล้วแต่มาถึงจุดๆหนึ่งแล้วรู้สึกว่าไม่คุ
้มกับค่าใช้จ่าย หรือจะประหยัดต้นทุนด้วยการเลิกต่อใบCER เนื่องจากเห็นว่าบุคลากรภายในของตนเอง มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาระบบเอาไว้ได้แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั
้น ระบบมันจะค่อยๆกร่อนไปเลรื่อยๆเหมือนตลิ่งที่โดนน้ำกัดเซาะไปเรื่อย มันจะค่อยๆแย่ลงไปโดยไม่รู้ตัวเพราะว่ามันจะค่อยๆหย่อนยานไปที่ละเล็กละน้อย เพราะอะไร มันถึงเป็นเช่นนั้น
เนื่องจากเหตุที่ว่า
1.คนในบริษัท100 % จะมีสักกี่คนที่เห็นคุณค่าของมัน และอยากที่จะทำงานอย่างเป็นระบบ ส่วนใหญ่อันไหนตัวเองคิดว่าสะดวก ไม่ยุ่งยากก็ทำแบบนั้น ยิ่งถ้าหัวหน้าหรือผู้บริหารไม่ค่อยได้เห็นความสำคัญของมันอยู่แล้วระบบยิ่งล่มสลายเ
ร็วเท่านั้น (ถ้าเห็นความสำคัญจะยกเลิกCer ทำไม)
2. ถึงแม้ว่าจะมีการตรวจสอบกันเองภายในก็ตาม แต่แหม ใครจะมาเข้มงวดเท่ากับ ผู้ตรวจสอบที่มาจากภายนอกล่ะ (แค่ตอนตรวจกันเอง มองตากันก็รู้ใจกันแล้ว ว่าอะไรมกเม็ดหรือทำตามระบบ คุณว่าจริงไหม 55555)
3. และอีกอย่างที่พบหลังจากยกเลิกCer แล้วคือมักจะไม่เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น มันจะปรับปรุงได้ไง แค่รักษาให้ระบบมันเป็นไปตามข้อกำหนดยังยากเต็มที
สุดท้าย เท่าที่ผมอ่านข้อกำหนดของISO แต่ละข้อกำหนดมักมีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงกันอยู่ แบบว่า ทำข้อนี้แล้ว ก็ต้องไปทำอีกข้อหนึ่งมันถึงจะสมบูรณ์ อะไรทำนองเนี่ย ทำไปทำมาก็ทำจนครบทุกข้อไปโดยปริยาย ถ้ามองแบบเอาข้อกำหนดเป็นตัวตั้งในการทำระบบ
ปล. อันนี้เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยพบมานะครับ อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด!
ผมเห็นว่า
1.ถ้าเป็นในกรณีของบริษัท ที่ยังไม่เคยได้รับการรับรองจากCBเลย แล้วนำข้อกำหนดของISO มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร ถึงจะนำข้อกำหนดมาใช้ไม่ครบทุกข้อก็ตาม (เลือกมาเฉพาะที่จำเป็น) ก็จะเห็นว่าการทำแบบนี้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด เพราะแต่ละข้อของข้อกำหนดล้วนแต่ทำให้เกิดการทำงานที่เป็นระบบ รัดกุม แต่อาจจะรู้สึกว่าจุกจิกไปหน่อยและใช้เวลามากกว่าการทำงานแบบลูกทุ่ง(แบบไม่มีระบบ) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำงานซ้ำหลายครั้ง
2. ถ้าเป็นกรณีของบริษัทที่เคยได้รับการรับรองแล้วแต่มาถึงจุดๆหนึ่งแล้วรู้สึกว่าไม่คุ
้มกับค่าใช้จ่าย หรือจะประหยัดต้นทุนด้วยการเลิกต่อใบCER เนื่องจากเห็นว่าบุคลากรภายในของตนเอง มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาระบบเอาไว้ได้แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั
้น ระบบมันจะค่อยๆกร่อนไปเลรื่อยๆเหมือนตลิ่งที่โดนน้ำกัดเซาะไปเรื่อย มันจะค่อยๆแย่ลงไปโดยไม่รู้ตัวเพราะว่ามันจะค่อยๆหย่อนยานไปที่ละเล็กละน้อย เพราะอะไร มันถึงเป็นเช่นนั้น
เนื่องจากเหตุที่ว่า
1.คนในบริษัท100 % จะมีสักกี่คนที่เห็นคุณค่าของมัน และอยากที่จะทำงานอย่างเป็นระบบ ส่วนใหญ่อันไหนตัวเองคิดว่าสะดวก ไม่ยุ่งยากก็ทำแบบนั้น ยิ่งถ้าหัวหน้าหรือผู้บริหารไม่ค่อยได้เห็นความสำคัญของมันอยู่แล้วระบบยิ่งล่มสลายเ
ร็วเท่านั้น (ถ้าเห็นความสำคัญจะยกเลิกCer ทำไม)
2. ถึงแม้ว่าจะมีการตรวจสอบกันเองภายในก็ตาม แต่แหม ใครจะมาเข้มงวดเท่ากับ ผู้ตรวจสอบที่มาจากภายนอกล่ะ (แค่ตอนตรวจกันเอง มองตากันก็รู้ใจกันแล้ว ว่าอะไรมกเม็ดหรือทำตามระบบ คุณว่าจริงไหม 55555)
3. และอีกอย่างที่พบหลังจากยกเลิกCer แล้วคือมักจะไม่เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น มันจะปรับปรุงได้ไง แค่รักษาให้ระบบมันเป็นไปตามข้อกำหนดยังยากเต็มที
สุดท้าย เท่าที่ผมอ่านข้อกำหนดของISO แต่ละข้อกำหนดมักมีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงกันอยู่ แบบว่า ทำข้อนี้แล้ว ก็ต้องไปทำอีกข้อหนึ่งมันถึงจะสมบูรณ์ อะไรทำนองเนี่ย ทำไปทำมาก็ทำจนครบทุกข้อไปโดยปริยาย ถ้ามองแบบเอาข้อกำหนดเป็นตัวตั้งในการทำระบบ
ปล. อันนี้เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยพบมานะครับ อย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด!
1 user(s) are reading this topic
0 members, 1 guests, 0 anonymous users



This topic is locked








